เทศน์เช้า

วันที่หนึ่ง

๕ ก.พ. ๒๕๔๓

 

วันที่หนึ่ง
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

เทศน์เช้า วันที่ ๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๓
ณ วัดสันติธรรมาราม ต.คลองตาคต อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

วันนี้เป็นวันชิวอิกใช่ไหม? วันนี้เป็นวันถือไง เขาจะถือให้เป็นมงคล วันนี้ต้องเป็นมงคล ทุกอย่างเป็นมงคลหมด เห็นไหม เป็นวันถือ พูดอะไรต้องให้เป็นแง่บวกหมด ถึงว่าล่ะ มันเป็นมงคลจริงๆ เลยนะ ชิวอิก วันที่หนึ่ง วันขึ้นปีใหม่ไง

วันขึ้นปีใหม่วันที่หนึ่ง เห็นไหม เป็นมงคลขนาดที่ว่าพระสารีบุตรถามนักบวชนอกศาสนาเวลาเถียงกันนะ “หนึ่งไม่มีสองเป็นอะไร?” หนึ่ง...หนึ่ง...ถามปัญหากัน “หนึ่งคืออะไร?” วันนี้วันชิวอิก วันที่หนึ่ง ถ้าเป็นวันที่หนึ่งวันมงคลทุกวันมันก็ดีสิ (หัวเราะ) วันเป็นมงคลไง วันเป็นมงคลวันที่หนึ่ง แต่มันเป็นวันมงคลวันที่หนึ่งแล้วมันก็สอง สาม สี่ไป เห็นไหม หนึ่งเป็นวันเริ่มต้น เราเริ่มต้นปีที่ดี เป็นนักขัตฤกษ์ เป็นประเพณีวัฒนธรรมที่จำสืบต่อๆ กันมา ว่าวันนี้ควรจะให้เป็นมงคล แล้วไม่ยอมทำอะไรเลย พยายามไม่ทำ กลัวทั้งปีนี่มันจะเสียหายไปไง ในทั้งปีมันจะทำให้เราฤกษ์ไม่ดีอะไรไม่ดี ก็เลยตั้งเป็นมงคล ถึงว่าเป็นมงคล หนึ่ง...วันที่หนึ่งเป็นมงคล

พระสารีบุตรถามว่า “หนึ่งไม่มีสองคืออะไร?” มันเป็นไปได้เฉพาะใจที่ทำได้ไง มันเป็นไปได้เพราะตามความเป็นจริง แต่ตามสมมุติหรือตามหลักสากลโลกเป็นไปไม่ได้ หนึ่ง สอง สาม สี่ ห้าไป คือว่ามันเป็นหนึ่งไป มันเป็นสอง เป็นสาม

แล้วความคิดก็เหมือนกัน คือว่าเป็นหนึ่งคือใจมันเป็นประธาน ใจมันตั้งมั่น ใจเป็นหนึ่ง ใจเป็นหนึ่งใจไม่มีสอง ไม่มีแบ่งแยกคุณค่า ดีหรือชั่ว เห็นไหม มันพ้นจากการให้ค่าไป แต่ในเมื่อมันยังมีการให้ค่าอยู่ มันก็ต้องมีดีและไม่ดีอยู่วันยังค่ำ ดีและไม่ดี เห็นไหม พอใจและไม่พอใจ

แต่ถ้ามันวันแรกนี่มันเป็นความสุข เป็นการนัดพบเครือญาติ มันก็มีความสุข เป็นความสุขนี่มันก็พอใจ เป็นความพอใจมันจะยึดอันนั้นเอาไว้ตลอดไปได้อย่างไร?

แต่ในเมื่อต้องการให้ยึดอันนั้นไว้ตลอดไป ยึดให้สิ่งนั้นมันเป็นมงคลตลอดปีเลย อย่างนี้ เป็นมงคลตลอดปี ถ้าปีไหนดีก็ว่าดีไป เพราะดีเพราะวันนี้ แต่จริงๆ แล้วมันคือว่าถ้ามันดีเพราะตรงนี้ กรรมคืออะไรล่ะ? กรรมเก่ากรรมใหม่ กรรมคืออะไร?

กรรมดีกรรมชั่วนะ คนเกิดมาเกิดมาจากกรรม กรรมเป็นวิบากเป็นผลที่เราได้รับออกไป รับดีรับชั่วมันอยู่ที่การที่เรารับผล มีผลของกรรมเสริมมา นั้นคือกรรมเก่า กรรมใหม่คือกรรมที่ปัจจุบันที่กำลังปฏิบัติกันอยู่ขึ้นมา นี่กรรมใหม่ กรรมอันนี้ เราทำดีก็ต้องได้ดี ถ้าวันนี้วันที่หนึ่ง วันชิวอิก เห็นไหม วันที่หนึ่งทำดี พรุ่งนี้ก็ต้องดี วันนี้ดีพรุ่งนี้ก็ดี ดีต่อไปนะ ถ้าทำความดีมันดีต่อไป เพราะนี้คือกรรมใหม่

มันอยู่ที่การกระทำ อยู่ที่กรรมการกระทำของเราทำดีหรือทำไม่ดี ทำไม่ดีแอบทำที่ไหนมันก็ให้ผล ลับหลังที่ไหนก็ให้ผล ไฟ...จุดที่ไหนมันโดนเรามันก็ร้อนทั้งนั้นล่ะ ถึงที่ลับที่แจ้งไฟนั้นร้อนหมด เห็นไหม กรรมดีทำดีต้องได้ดี

แต่ผลของความดีมันได้มาช้าไง ผลของความดี เราทำความดีแล้วอยากว่าอยากได้ดีตามที่ว่าเราทำแล้วเราความดีกันหมด เด็กๆ นี่มันแค่มาประจบผู้ใหญ่มันก็อยากได้ดี ความดีของเด็กๆ เห็นไหม ความดีของเด็กๆ ความดีของผู้ใหญ่ แล้วมันมองเห็นความดีต่างกัน เราทำความดีควรจะได้ความดี ทำไมไม่เห็นได้ความดี?

เราไปทำผิดคน ผิดกาลเทศะ ผิดใจของเขา ใจของเขาไม่ได้คิดถึงคุณงามความดีขนาดนั้น คุณงามความดีของเขาว่าแค่เขาพอใจ แล้วความพอใจของคนก็ไม่เหมือนกัน ถึงว่านานาจิตตังไง คนชอบสิ่งใด ถ้าเราให้สิ่งที่ตรงกับเขาชอบ เขาก็ว่าดี ถ้าเราตรงให้สิ่งที่เขาไม่ชอบ มันก็ว่าไม่ดี

สิ่งที่เขาว่าไม่ดีๆ ของเขา แต่ถ้าเราทำความดีของเรา เราสบายใจก่อน เราตั้งใจทำความดีของเรา เราสละออกไป ทานคือการให้ ผู้ให้กับผู้รับต่างกัน ผู้ให้มันมีความสุขมากกว่า เห็นไหม ผู้รับเขาก็ได้รับความสุขจากเราก็รับจากเราไป ถึงจะเป็นนั่นไป นั่นคือทาน

การให้เป็นประโยชน์สำหรับที่เราให้ นี้เราให้นะ เราให้ความดีกับเขา เราสอนวิชาการทุกอย่าง คุณงามความดี การประสบสัมพันธ์ทางโลก เห็นไหม เราสัมพันธ์กัน มันต้องมีกระทบกระทั่งกัน ความกระทบกระทั่งกันในทางของโลก ถ้าเราให้อภัย เราคัดเลือก อย่างนี้ใครเป็นคนควบคุมนั้น? ใครเป็นคนควบคุมสิ่งที่ว่าการกระทบกระทั่งอันนั้น?

ถ้าเราเป็นฝ่ายรับ เห็นไหม เราเดือดร้อน เราเป็นฝ่ายรับ เพราะสิ่งที่กระทบกระทั่งมา เราเก็บทั้งหมดนี่นา ถ้าเราไม่เก็บ เราแยกแยะได้ สิ่งนั้นไม่สมควร สิ่งนั้นมันเป็น...

กรรมเก่า-กรรมใหม่ เห็นไหม สิ่งที่เป็นกรรมเก่ามันปฏิเสธไม่ได้ สิ่งที่เกิดขึ้นมากับเรา บางอย่างเกิดขึ้นกับเรา เราไม่ต้องการ มันก็อยู่กับเราไป ลูกก็เหมือนกัน เห็นไหม ลูกเกิดมามืดแล้วไปสว่าง ลูกเกิดมา เห็นไหม เกิดมาดีเกิดมาไม่ดี เกิดมากับเรา เกิดมาสว่าง อยู่สว่าง ไปสว่าง เกิดมาสว่างไปมืด นี่มันอยู่ที่กรรมเก่าของเขาอันหนึ่ง อยู่ที่การอบรมบ่มนิสัยของเราอันหนึ่ง เห็นไหม สิ่งแวดล้อมนะมีส่วนมากเลย

แต่ในครั้งพุทธกาลนะ เป็นโจรก็มีนะ เป็นสามีภรรยาคู่หนึ่ง เห็นไหม สามีเป็นนายพราน ภรรยาไม่เห็นด้วย เวลาหยิบของ สามีภรรยาเขาต้องอุปัฏฐากกัน ให้หยิบเครื่องมือออกล่าสัตว์ แล้วตั้งความในใจว่า “เราไม่เห็นด้วย เราไม่เคยเห็นด้วยเลย” แต่ในเมื่อเป็นสามีภรรยากันก็ช่วยเหลือกันเพราะว่ามันเป็นหน้าที่ ให้สามีไปเพื่อจะหามาจุนเจือนะ หามาจุนเจือในการเป็นอยู่ ให้อาวุธไปเพื่อล่าสัตว์ แต่ไม่เคยเห็นด้วยเลยนะ อยู่ในพระไตรปิฎก เรื่องนี้อยู่ในพระไตรปิฎก สุดท้ายถึงเวลาสิ้นถึงอายุขัย เห็นไหม เวลากรรมมันให้ผล สามีตกนรก ภรรยานั้นไปสวรรค์

นี่ทำต่างกัน อันนี้เพราะว่าความตั้งใจ แต่ในเมื่อถ้าเป็นกรรมของเราที่ว่าพ่อแม่หามา มีอยู่นะ พระอยู่กับเราองค์หนึ่งบอกว่า “ขนาดว่าหลับตาไป เห็นตัวเองปีนอยู่บนขวดเหล้านอก”

เราก็สงสัย เป็นเพราะอะไร? ถามว่า “พ่อมีอาชีพอะไร?”

“พ่อมีอาชีพสรรพากร มีอาชีพพวกสรรพากร พวกเก็บภาษี แล้วมีอาชีพนั้นมา”

หามาไง ลูกไม่รู้เรื่องเลยนะ ลูกอยู่ในพ่อแม่นั้น ใช้เงินกินหาอยู่ไป แต่มันไม่เหมือนกับสามีภรรยาคู่นี้ สามีภรรยาคู่นี้รู้ว่าผิดรู้ว่าถูกแล้วไม่เห็นด้วย แต่ก็ใช้เพราะสามีหามาก็ต้องใช้ในครอบครัวนั้น ทำไมสามีไปนรก ภรรยาไปสวรรค์ล่ะ?

เพราะว่าเจตนาตั้งใจ ความเป็นไป กรรมเก่า-กรรมใหม่ แต่เรื่องของเราที่ว่าพระเห็นไปนะ เด็กไม่รู้ไง นี่สิ่งแวดล้อม จะชักเข้ามาให้ดูว่าสิ่งแวดล้อมไง ว่าสิ่งแวดล้อมทำให้คนดีหรือคนไม่ดี มันมีส่วนอยู่เหมือนกัน

แต่ถ้าหลักใจดี สิ่งแวดล้อมขนาดไหน หลักใจมันทำได้ ในวงของโจรนั้น คนดีก็มี ในวงของผู้ดี ผู้ดีใครคิดไม่ดีก็มี นั่นเพราะว่าสิ่งความคิดนี้มันอยู่ในหัวใจไง จิตมันถึงไม่ตั้งมั่นไง จิตไม่ถึงเป็นหนึ่งไง พระสารีบุตรว่า “จิตเป็นหนึ่ง หนึ่งคืออะไร?”

เขาตอบกันว่า “หนึ่งคืออันนั้น หนึ่งคืออันนั้น...”

ผิดหมดเลย! หนึ่งคือธรรมที่เป็นหนึ่ง เอโก ธัมโม ธรรมที่เป็นเอก เห็นไหม มันเป็นหนึ่งเดียว มันไม่เป็นสองออกไป มันขยับออกไปมันเป็นแค่เงา เห็นไหม แค่เงาที่ออกไปเสวย จิตกระเพื่อมออกเสวยอารมณ์ จิตไม่เสวยอารมณ์ จิตมันก็อยู่ว่างของมันตลอดเวลา แต่ธรรมชาติอันนี้อยู่ไม่ได้ ธรรมชาติของใจมันต้องแปะเกาะเกี่ยวไป เหมือนเด็ก หัดเดินนี่ต้องเกาะกับสิ่งที่ว่าเกาะกับเชือก เกาะอะไรหัดเดินไป

ใจธรรมชาติของมันนะ มันไม่มี มันแสดงตัวออกมา มันอาศัยอารมณ์แสดงตัวออกมาตลอดเวลา ความคิดนี่แสดงตัวออกมา ถ้าไม่มีความคิดเลยมันก็ว่างอยู่อย่างนั้น แต่มันอยู่ไม่ได้เพราะว่ามันไม่มีหลักใจ เพราะเราไม่ได้ฝึกฝนไว้

ถ้าเราฝึกฝนไว้ นี่จิตเป็นหนึ่ง การทำความผิดพลาดของเราแทบจะไม่มีเลย เพราะมันเข้าใจตลอดเวลา การคิดออกมา แว็บออกมา เสวยอารมณ์ จิตเสวยอารมณ์กระเพื่อมไปพร้อมกับสติสัมปชัญญะ เห็นไหม รู้ตัวเองตลอดเวลาว่าทำอะไร คิดดีคิดชั่วนี่มันจะพาคิด เห็นไหม นี่จิตเป็นหนึ่ง

ถึงว่าจิตเป็นหนึ่งนี้เยี่ยมที่สุด แต่ในเมื่อยังไม่เป็นหนึ่ง เรายังเป็นหนึ่งไม่ได้ เราทำไม่ได้ แค่เราว่าวันขึ้นปีใหม่ วันชิวอิก เราก็อยากจะให้เรามีความสุข เรามีความสุขเราก็คิดผิดแล้ว มีความสุขในการประกอบอาชีพ มีความสุขในอะไร มีความสุขข้างนอกไป อันนั้นเป็นเครื่องอยู่อาศัยนะ เรื่องประกอบธุรกิจนี่เป็นเครื่องที่ว่าดำรงชีวิตออกไป เครื่องอยู่อาศัยที่ให้จิตนั้นไป อันนั้นเป็นส่วนหนึ่ง

แต่ถ้าทำจิตให้ตั้งมั่น มันอยู่ละเอียดอ่อนกว่านั้น เห็นไหม สิ่งนั้นจะลุ่มๆ ดอนๆ บ้าง อันนั้นมันก็เป็นผลของมัน เป็นผลว่ามีขึ้นมีลง ทุกอย่างต้องเป็นอนิจจังทั้งหมด มันไม่มีการทรงตัวตลอดเวลา ไม่มีตกไปตลอดเวลา แล้วไม่มีขึ้นที่สูงไปตลอดเวลา ซึ่งขับเคลื่อนถึงสูงสุดแล้วมันต้องตกต่ำลงมา ถึงต่ำที่สุดแล้วมันก็ต้องแปรสภาพไป มันไม่อยู่ตรงนั้นเด็ดขาดเลย

ชีวิตเราถึงไม่แน่นอนไง พระพุทธเจ้าถึงบอก “ไม่ให้ประมาทในชีวิต” ไม่ให้ประมาทในความคิดของเรา ความคิดที่ประมาทนั่นน่ะ ความสุขอันนั้นเราจะมองอันนั้น เราก็คิดผิด ความคิดผิด เห็นไหม คิดแบ่งอารมณ์ไปเท่าไหร่แล้ว ไม่เป็นหนึ่งแล้วเพราะอะไร? เพราะใจมันไม่เป็นหนึ่งไว้อยู่ นี่เราต้องทำให้เป็นหนึ่ง

วันที่หนึ่ง วันชิวอิกไง เราก็ต้องตั้งใจ เข้าใจคำว่า “หนึ่ง” อันนี้ แล้วก็จะเป็นสองไปๆ สองนี้เป็นสมมุติ หนึ่ง สอง สาม สี่ ห้า นี่เป็นสมมุติทั้งหมด วันนี้ก็เป็นวันนี้ พรุ่งนี้ก็เป็นวันนี้ เป็นปัจจุบันไง มันก็เป็นหนึ่งได้ตลอดไป เห็นไหม วันที่หนึ่งก็วันนั้น วันที่สองก็วันนั้น เอาวันนั้นไง เอาวันที่เป็นวันนั้น เอาวันปัจจุบัน มันก็เป็นฤกษ์ดีตลอดไป

แต่ไม่ใช่ว่าให้ หนึ่ง สอง สามนี้เป็นสมมุติให้ค่า เราเป็นคนให้ค่าเพื่อจะสื่อกับโลกของเขา โลกในโลกนี้เขาต้องใช้สมมุติเป็นสื่อกัน การสื่อของโลกเขาเราก็สื่อไปกับเขา แต่ใจเราไม่ไปกับเขา ฟังสิ! ใจเป็นหนึ่ง เห็นไหม อยู่กับโลกของเขา อยู่ไปกับเขาแต่ใจไม่ไปกับเขา ใจนี่เป็นเอกเทศของเรา

นี่ความสุขมันจะเกิดตรงนี้ไง ความสุขมันจะเกิดขึ้นมาจากภายในที่เราเข้าใจ เราเข้าใจเราก็ตั้งเป้าหมายชีวิตไง ชิวอิกทุกวันเลย ฤกษ์ดีทุกวันเลย ดีตลอดไปๆ เพราะเราตั้งใจของเราดี เราตั้งใจของเราดี ใจของเราดี เราทำอะไรก็ความผิดพลาด การควบคุมใจ เห็นไหม นี่ความสุขจริงมันอยู่ตรงนั้น

นี่ความคิดมันถึงว่าคิดไอ้ตรงที่ทำงานก็ทำงานไป หน้าที่ทำงานเพราะคนเกิดมาแล้วต้องมีหน้าที่รับผิดชอบ คนเรามีคุณค่าอยู่ที่ผลของงาน เห็นไหม คนนี้ทำแล้วประสบความสำเร็จ คนนี้ทำแล้วเจริญรุ่งเรือง เขาก็ให้ค่ากันตรงนั้น ให้ค่าตรงนั้นใครเป็นคนให้ค่า? สังคมให้ค่า

แต่พระพุทธเจ้าไม่ได้ให้ค่า พระพุทธเจ้านะ ธรรมไม่เคยให้ค่าสิ่งนั้น ธรรมไม่เคยให้ค่าเลย ดูในสมัยพุทธกาลนะ มีอยู่นะ พระพุทธเจ้าหรือพระอรหันต์ รูปประณีตมาก สวยมาก จนคนต้องมานั่งมองนะ มีพระมาติดพันในรูปของพระพุทธเจ้าว่าพระพุทธเจ้านี่มีรูปงามมาก นี่เป็นพระอรหันต์

แล้วก็มีพระอรหันต์เหมือนกัน ที่ว่าเตี้ยแคระมากจนพระไม่รู้ไง ไปลูบหัวเล่นไง นั้นก็พระอรหันต์เหมือนกัน นี่พระอรหันต์ จนพระพุทธเจ้าเตือนพระนะ “ภิกษุทั้งหลาย อย่าไปล้อเล่น นั้นเป็นบาปเป็นกรรม พระองค์นั้นเป็นพระอรหันต์นะ” พระไม่เข้าใจเพราะเห็นแต่รูปภายนอก เห็นไหม ก็ไปลูบเล่น พระพุทธเจ้าเตือนเข้าถึงยอมรับเข้าใจว่าจะไม่ไปทำอีก เพราะว่าจิตอันนั้นมันบริสุทธิ์แล้ว ไปลูบเล่นอยู่อันนั้น

อันนี้จะเปรียบให้เห็นว่าความเห็นของวัตถุ มันเห็นวัตถุ ความสังคมให้ค่าต่างกัน แต่พระพุทธเจ้าให้ค่า เห็นไหม จะเตี้ย จะแคระ จะแกร็นก็เป็นพระอรหันต์ จิตบริสุทธิ์เหมือนกัน จะเป็นองค์ที่ว่าเป็นพระนันทะ เป็นพระพุทธเจ้า รูปร่างสวยงามมากก็จิตบริสุทธิ์เหมือนกัน มีค่าถึงความบริสุทธิ์เหมือนกัน

มีความสุขไง มีความสุขของใจ ใจนี้มีความสุขเหมือนกัน พระพุทธเจ้าเห็นค่าตรงนั้น เห็นความสุขของใจ เราก็ต้องว่าสังคมให้ค่า สังคมให้ค่าเราก็ไปกับสังคม เพราะเราอยู่ในโลก เรามีปากมีท้อง เราต้องหาชีพหาเลี้ยงตัวเอง หาเลี้ยงวงศาคณาญาติ อันนั้นเป็นหน้าที่ของเราเพราะเราเกิดมามีปากกับมีท้อง

ถึงว่านี่เป็นญาติโดยธรรม คนเกิดมามีปากมีท้อง มีสุขมีทุกข์เหมือนกัน นี่ญาติธรรม เป็นญาติเหมือนกัน มีความจำเป็นเหมือนกันทั้งหมดเลย แต่นี้เราก็หาความจำเป็นอันนั้นไว้สำหรับโลกนี้ เราเกิดมาเป็นมนุษย์ แล้วใจล่ะ? ใจจะมีอะไรให้เป็นสมบัติของใจ? ให้เป็นสมบัติของความสุขจริงที่พระพุทธเจ้าให้ค่าอันนี้ไง?

พระพุทธเจ้าให้ค่าอันนี้ ให้ค่าของใจ คือว่าในความสุขต่างๆ ในความสุขของโลกนี้คือความร่มเย็นของหัวใจ ในครอบครัวมีความสุขร่มเย็นอันนั้นเป็นบุญกุศล บุญกุศลอยู่ที่ความสุขของใจนี้ นี่คือบุญ บุญในหลักของศาสนา บุญคือความสุขใจ พอใจ ใจนี้มีความสุขสดชื่นของใจ

เพราะใจมันสดชื่น คนมีบุญนะ ไปที่ไหนคนก็เห็นอัธยาศัยดี คนๆ นี้เป็นคนดี คนๆ นี้มันแบบว่าร่มเย็นไปหมด มันก็ขับให้ร่างกายนี้ออกมาแล้ว ให้ร่างกายนี้ผ่องใส ให้ร่างกายนี้เป็นไปตามที่ว่ามีบุญกุศลเป็นเครื่องหล่อเลี้ยงอยู่

พอนี้ออกไป สังคมก็ต้องยอมรับขึ้นมา การทำงานก็ง่ายขึ้น มันส่งผลกลับมาไง การทำงานง่ายขึ้น ในความร่วมมือมากขึ้นในโลกมากขึ้น ความเป็นไปในชีวิตมันก็มีแต่ความสุข นี่คนบุญ ถ้าเราเอาตรงนี้ก่อน แต่เราไม่ได้คิดตรงนี้ เราไปยึดเป้าหมายหลักผิด ไปยึดเป้าหมายวัตถุก่อน แล้วเราก็พยายามกว้านเอาความร้อนนะมาเผาใจของตัว

ถึงบอกว่าเงินหรือวัตถุสิ่งของนี้ ในคุณค่าของมัน มันไม่ใช่กิเลส ความยึดมั่นถือมั่นของเรา การให้ค่าของเรา ความยึดแล้วความไม่ยอมให้มันแปรสภาพไปของเรา อันนี้ต่างหากเป็นกิเลส กิเลสคือความยึดมั่นถือมั่นของใจ กิเลสไม่ใช่วัตถุนั้นมาให้ค่ากับใจนั้นได้หรอก ค่าพวกนั้นอยู่เก้อๆ เขินๆ ของมันถ้าเราเข้าใจมันนะ อยู่เก้อๆ เขินๆ คือว่าไม่ขึ้นอยู่กับหน้าที่ของมัน เราก็อยู่ของเรา เราเป็นอิสระ

แต่ถ้าใจของเราไม่มีหลักแล้วนะ สิ่งๆ นั้นทับถมใจแล้วเป็นภาระรับผิดชอบ เก็บรักษานี้เรื่องยากที่สุดเลย การเก็บรักษานะ การเก็บรักษา การย้ายไป แล้วจะทับถมไปๆ วันนี้มีของเท่านี้มีความสุข พรุ่งนี้มีเท่าเก่าไม่มีความสุข ต้องมีมากขึ้นๆ จะหาความสุขมาเพื่อให้มีความสุขใจในความหลงระเริงของเรา ต้องเหนื่อยยากขนาดไหนเพื่อจะหาสิ่งนั้นมาให้มีคุณค่ามากกว่า ให้น้ำหนักมากกว่าทุกวันๆ ขึ้นไป แล้วมันจะมีที่ไหนที่ว่าหาน้ำหนักมากจนไม่มีวันสิ้นสุด

นี่หาความสุขทางโลกไง หาความสุขทางโลกมันถึงว่าต้องใช้ความทุกข์มากกว่า พระพุทธเจ้าถึงสอนบอกว่า “เปรียบเหมือนกับวิดทะเลทั้งทะเลเพื่อเอาปลาน้อยๆ ตัวเดียว” ชีวิตทางโลกนี่เอาปลาน้อยๆ ตัวเดียว

แต่ถ้าพูดถึงความเข้าใจจริง ความที่จิตเป็นเอกัคคตารมณ์ จิตนี้เป็นหนึ่งแล้วค่อยๆ คิดออกมา มันจะแยกแยะความสุขภายใน แยกแยะความคิดภายใน เริ่มเป้าหมาย ถ้ามันชี้เป้าหมายถูก สิ่งนั้นทำไปเหมือนกับสักแต่ว่าทำ แต่ทำจริงเพราะอะไร? เพราะคนจริงมีสติสัมปชัญญะ ทำจริง

แต่ถ้าทำด้วยอารมณ์ความยึดมั่นถือมั่น มันทำด้วยความตั้งใจทำ แต่ทำด้วยความพลั้งๆ เผลอๆ ไง เพราะมันตั้งผิดกัน มันอยากทำ อยากเฉยๆ สติสัมปชัญญะไม่มี แต่ถ้าจิตตั้งมั่น มันทำไปพร้อมกับความรู้สึกตลอดเวลา งานนั้นก็เป็น... (เทปสิ้นสุดเพียงเท่านี้)